5 สัญญาณเล็ก ๆ ของร่างกาย เตือนภัยโรคที่คิดไม่ถึง

5 สัญญาณเล็ก ๆ ของร่างกาย เตือนภัยโรคที่คิดไม่ถึง
อย่ามองข้าม สัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ร่างกายกำลังบอกเรา หากอยู่ ๆ คุณมีลมหายใจหอมเหมือนกลิ่นผลไม้ คันผิวหนังบ่อย ๆ หรือเล็บมือมีจุดสะเก็ดเลือด นั่นอาจหมายถึงโรคบางอย่าง
อาการผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร่างกาย ที่เราแทบไม่ทันสังเกต หรือถึงเห็นก็ไม่สนใจมากนัก เพราะยึดติดกับคำว่า "ไม่เป็นไรหรอกมั้ง" อาจเป็นสัญญาณเตือนบอกให้รู้ถึงความเสื่อมบางอย่างก็เป็นได้ และถ้ายังปล่อยให้เป็นมากกว่านี้ กว่าจะรู้ตัวก็คงสายไปแล้ว นิตยสารอาหาร&สุขภาพ เลยขอบอกเล่าคำเตือนของร่างกายที่อยากให้ทุกคนได้รับรู้และตรวจเช็กสัญญาณต่อไปนี้บ้าง

-เมื่อลมหายใจหอมเหมือนกลิ่นผลไม้

อาจเป็นการบ่งบอกถึงสภาวะของปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรุนแรง จะเกิดขึ้นได้เมื่ออาการของโรคเบาหวานที่เป็นไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เลือดมีฤทธิ์เป็นกรดถึงขั้นอันตราย
โรคเบาหวานเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดไม่ปกติ จะเป็นเมื่อมีระดับภูมิคุ้มกันต่ออินซูลินและฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นในตับอ่อนผลิตได้น้อย สัญญาณการเริ่มเป็นเบาหวานที่สังเกตได้เช่น ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำตลอดเวลา การเป็นเบาหวานมักทำให้น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว (ภายในเวลาเป็นวันหรือสัปดาห์)
อินซูลินมีหน้าที่นำน้ำตาลออกจากเลือดไปยังเซลล์ของร่างกายเพื่อการทำงาน และซ่อมแซมเซลล์ หากเป็นเบาหวานแล้วไม่รับการรักษาและปรับเปลี่ยนโภชนาการเสียใหม่ ร่างกายจะไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้อีกต่อไป ต้องไปเผาผลาญไขมันแทน
และหากเกิดเหตุการณ์ถึงขั้นนี้แล้ว จะเกิดสารประกอบที่เป็นกรดทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด กรดที่เกิดขึ้นนี้บางครั้งถูกกำจัดออกไปทางปอดจึงทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเป็นผลไม้ เมื่อมีกรดและน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และมักมีอาการกระหายน้ำอย่างมาก, หายใจสั้นถี่เร็วขึ้น และ/หรือมีอาการปวดท้องเกิดร่วมด้วย ดังนั้นหากไม่รีบไปพบแพทย์อาจมีอาการโคม่าและเสียชีวิตได้ในเวลาต่อมา
การตรวจพบลมหายใจกลิ่นผลไม้นี้หาได้ไม่ง่ายนัก แต่ที่สำคัญคือเมื่อผู้ใดมีลักษณะเช่นนี้แล้วไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามสภาวะเลือดเป็นกรดอาจเกิดขึ้นจากสารพิษในร่างกาย ที่ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นที่แปลกแตกต่างกันออกไป

-เล็บมือมีจุดสะเก็ดเลือดแดง ๆ ดำ ๆ

อาจเป็นสัญญาณอันตรายของการติดเชื้อในหัวใจก็เป็นได้ เมื่อนิ้วมือถูกบานประตูหนีบจะมีจุดสีม่วงเกิดขึ้นเป็นดวง ๆ แดง ๆ ดำ ๆ ของเลือดที่ดูเป็นสะเก็ด ๆ นั้นต่างออกไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากส่วนที่แตกออกมาจากการติดเชื้อที่ลิ้นของหัวใจ และล่องลอยไปตามหลอดเลือดเล็ก ๆ ไปปรากฏที่ฐานของเล็บมือ (ข้างใต้เล็บ)
เมื่อหลอดเลือดเล็ก ๆ นี้อุดตันทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหาย ก็จะมีเลือดไหลไปตามเนื้อเยื่อรอบ ๆ เหล่านั้น ทำให้เกิดเห็นเป็นจุดแดง ๆ ดำ ๆ เป็นสะเก็ด ๆ อาการเลือดออกเหล่านี้ไม่มีความเจ็บปวดจึงทำให้ไม่ค่อยได้สังเกต อาการอื่น ๆ ของการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจเช่น มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย, น้ำหนักลด, มีไข้สูงแบบไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการหนาว, เหนื่อย, หรือปวดตามข้อ
การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจมักเกิดในผู้ที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติอยู่แล้ว เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดจะแพร่กระจายทำให้เกิดโรคที่ลิ้นหัวใจ แพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่กระแสเลือดไปทุกส่วนของร่างกาย จุดเลือดบนเล็บมืออาจเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกโรค หากพบสัญญาณนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันทีเช่นกัน

-คันบนผิวหนังทั่วไปหมดทั้งตัว

อาการคันไปทั่วทั้งตัวโดยมีอาการแพ้หรือผื่นแดง อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็ง, โรคตับ, โรคไต, ปัญหาทางระบบประสาท, การติดเชื้อ, อาการไม่ปกติของเลือด และต่อมไร้ท่อ หรือมาจากผลข้างเคียงของการรักษาด้วยยา เป็นต้น
อาการคันที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักอธิบายได้ไม่ถูกหรือชัดเจน เช่น คนที่มีผิวแห้งก็คันทั่วทั้งตัวได้เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าอาการคันอย่างไม่มีสาเหตุมักเป็นสัญญาณเริ่มแรกของมะเร็ง รวมทั้งโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มีอาการมีไข้อ่อน ๆ ร่วมไปด้วย ขณะที่อาการคันกระจัดกระจายเป็นแห่ง ๆ อาจเกิดขึ้นจากสารที่แตกตัวออกมาจากตับ และอาจเป็นสัญญาณแรกของโรคตับเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อมีอาการคันโดยทั่วไปทั้งร่างกายในลักษณะนี้ ก็ควรรับการตรวจเช็กสาเหตุที่แท้จริงจากแพทย์ แต่ถ้าอาการคันนี้เกิดขึ้นโดยทันทีที่มีการเริ่มรับประมาณยาตัวใหม่ ก็น่าจะเป็นที่ยาตัวนี้ จึงควรปรึกษาแพทย์ทันทีก่อนจะรับประทานยาครั้งต่อไป ทั้งนี้อาการคันก็มักเป็นสัญญาณปฏิกิริยาตอบสนองอาการแพ้ด้วยเช่นกัน

-ได้ยินเสียงหัวใจดังขึ้นในศีรษะ

ที่มักเกิดร่วมไปกับอาการปวดหัว อาจหมายความว่า หลอดเลือดของคุณกำลังมีปัญหาที่อาจทำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
เป็นเรื่องปกติหากว่าคุณได้ยินเสียงหัวใจในหู เมื่อคุณนอนลงแล้วเอาหูไปแนบไว้กับหมอน แต่ถ้าคุณสังเกตว่าเกิดเสียงจังหวะคล้ายการเต้นของหัวใจที่ข้างใดข้างหนึ่งของศีรษะ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะอยู่ในลักษณะใดนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ อาจเป็นการบ่งชี้ถึงปัญหาของหู หรือความผิดปกติของหลอดเลือดภายในศีรษะหรือคอ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอาการปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่งเป็นระยะ ๆ)
เป็นกรณีของความผิดปกติของหลอดเลือดที่พบได้ยากกรณีหนึ่ง การได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจลักษณะนี้เรียกว่า ความยุ่งเหยิงของเส้นเลือดแดงและดำที่ผิดรูปร่าง (dural arteriovenous malformation) โดยปกติหลอดเลือดดำจะขนส่งเลือดเข้าสู่หัวใจ และหลอดเลือดแดงจะขนเลือดออกจากหัวใจ แต่คนที่มีการทำงานผิดปกติแบบนี้มักเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ที่เกิดจากการเชื่อมต่อโดยตรงของหลอดเลือดแดงและดำ เมื่อเวลาผ่านไปความผิดปกตินี้ก็จะมีมากขึ้น ทำให้ได้ยินเสียงดังในหูดังกล่าว
เมื่อมีอาการดังนี้ควรรับการรักษาจากแพทย์, จิตแพทย์ หรือศัลยแพทย์ทางประสาท แล้วแต่กรณีไป อาจจะต้องมีการซ่อมแซมหลอดเลือดก่อนที่จะเกิดการแตกและเลือดออกในสมอง
นอกจากอาการได้ยินเสียงหัวใจในหูอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ การมีเนื้องอก, มีการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่คอ, การมีเลือดไหลเข้าไปสู่หลอดเลือดดำภายในหูอย่างรวดเร็วและมากมาย

-เลือดกำเดาไหลมักแก้ไขได้ไม่ยาก แต่ในบางกรณีอาจมีอันตรายถึงชีวิต

เลือดกำเดาคือเลือดที่ไหลออกทางรูจมูก การได้รับการกระทบกระเทือนจากภายนอก เช่น ถูกต่อยบริเวณจมูกแล้วมีเลือดกำเดาไหลออกมา ให้หงายศีรษะไปด้านหลังและเอาถุงน้ำแข็งวางไว้เหนือดั้งจมูกประมาณสิบถึงสิบห้านาทีเลือดจะหยุดไหล แต่ถ้าเลือดไม่หยุดไหลก็ควรประคบน้ำแข็งต่อไป
แต่ถ้าการประคบนี้ไม่ไดผลก็แสดงว่าอาจเป็นการไหลของเลือดที่อยู่ลึกลงไปกว่าในส่วนของโพรงจมูก ต้องใช้สำลีอุดเบา ๆ หรือใช้สำลีชุบยาบางชนิดอุดก็ช่วยได้ แต่การใช้ยาก็ต้องดูว่าผู้ป่วยนั้นมีโรคประจำตัวอะไร สามารถใช้ยานั้นได้หรือไม่เป็นต้น และเมื่อเลือดหยุดไหลแล้วก็ไม่ควรสั่งน้ำมูกภายในหกชั่วโมง เพราะอาจมีเลือดไหลออกมาอีกได้ง่าย
แต่หากทำอย่างไรไปแล้วเลือดกำเดาก็ยังไม่หยุดไหล ควรไปปรึกษาและพบแพทย์โดยทันที การไหลของเลือดอาจเกิดขึ้นลึกลงไปกว่าช่องรูจมูก ทำให้ยากในการรักษา หากเลือดออกมากจะไหลกลับเข้าสู่ลำคอ ควรปรึกษาแพทย์ด้านหู คอ จมูกโดยเฉพาะ
เลือดกำเดาไหลเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูง ผลส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากแตกและเป็นแผลในช่องโพรงจมูก มักเกิดเพราะอากาศแห้ง, ภูมิแพ้คัดจมูกเรื้อรัง หรืออาจมีติ่งเนื้องอกเกิดขึ้น (polyp) บางคนอาจมีโรคที่ต้องรับประทานยาที่ต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น แอสไพริน, พลาวิส, วาร์ฟาริน หรืออาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นประจำ และหากเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเลือดจางอย่างรุนแรงได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
แปลและเรียบเรียงโดย ศรันยา ฉิมสุนทร
แหล่งความรู้จาก Your Body’s Red Light warning Signal โดย Neil Shulman, M.D., Jack Birge, M.D., and Joon Ahn, M.D. : A Dell Book 2008.


ที่มา: Facebook