เรื่องลี้ลับในวังหลวง (สมัยรัชกาลที่5)


เรื่องราวต่างๆภายใน ‘วังหลวง’ ไม่ว่าจะเป็นรัชสมัยไหนก็ถือว่าเป็นเรื่องลับ! ทำให้พวกเรา
ประชาชนคนธรรมดาค่อนข้างอยากรู้อยู่ไม่น้อย แต่ทั้งนี้เรื่องราวในวังก็ไม่ได้มีแค่ความสวยงาม ขนบ
ธรรมเนียมอันแน่นแฟ้นเพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่ยังมี ‘เรื่องลี้ลับ’ แฝงอยู่ด้วย! สำหรับวันนี้ลอง
ตามไปอ่านเรื่องราวชวนขนหัวลุกในสมัยรัชกาลที่5 กันนะคะ


เรื่องแรก เกิดขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต

ในสมัยรัชกาลที่5 เมื่อพระราชวังสวนดุสิตปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆ ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่าสวยงาม
ราวกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ภายในบริเวณถูกจัดแต่งด้วยหมู่มวลพืชพรรณ ดอกไม้นานาพรรณ ทำให้
หอมอบอวล และร่มรื่นไปทั้งบริเวณ

เมื่อผลไม้นานาชนิดออกผลเล็กใหญ่เต็มต้น ทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ ต่างก็เป็นที่ต้อง
การของชาววังทั้งหลาย จึงมีผู้ใจกล้าแอบมาสอยผลไม้ของหลวงไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อย จน
ผิดสังเกต แถมบางลูกยังทิ้งร่องรอยฟันกัดแทะไว้คาต้น เย้ยทหารเล่นๆเสียอย่างนั้น ทำให้เรื่องนี้
กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงหูล้นเกล้า ร.5 เลยทีเดียว



พระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ที่เกิดเหตุการณ์ลักขโมยขึ้นในวังหลวง จึงได้เสด็จมาทอดพระเนตร
ผลไม้ที่โจรทิ้งรอยฟันไว้ด้วยพระองค์เอง แต่แล้วก็ตรัสขึ้นว่า ไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต
น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้

จนกระทั่งคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัดเป็นอย่างมาก ทำให้พวกชาววังและทหาร
วางแผนดักซุ่มจับหัวขโมย บริเวณต้นฝรั่งที่ออกผลใกล้สุกเต็มที่ ซึ่งร.5 ได้เสด็จทอดพระเนตรเห็น
รอยฟันในต้นนี้

และแล้วการอดทนซุ่มรอก็เป็นผล เมื่อพบร่างเงาดำๆวิ่งผ่านเหล่าชาววังและทหารขึ้นไปบนต้นฝรั่ง
อย่างรวดเร็ว พร้อมกับกัดกินผลด้วยความหิวกระหาย ทำให้ทุกคนดีใจที่จะจับขโมยได้ จึงวิ่งกรูเข้า
ไปล้อมโคนต้นฝรั่งไว้อย่างรวดเร็ว หวังให้ขโมยหมดทางหนีอย่างแน่นอน

เมื่อทุกคนล้อมโคนต้นฝรั่งไว้หมดแล้ว ต่างก็พากันโห่ร้องเรียกหัวขโมย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
ก็ยังไม่มีทีท่าที่หัวขโมยจะยอมลงจากต้นฝรั่ง ซ้ำยังกระโดดลงมาที่พื้นวิ่งพรวดลงไปสระอโนดาด หาย
ลับไปต่อหน้าต่อตาทุกคน!

แต่ที่น่าสยดสยองกว่านั้นคือ ทหารชายหลายคนได้พยายามช่วยกันกระโดดตะครุบตัวไว้ แต่ก็จับไม่ได้
เพราะตัวลื่นเป็นเมือก กลิ่นสาปรุนแรงคล้ายคนตาย ว่องว่อง แข็งแรงเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ซึ่งแม้
แต่ใบหน้าก็ไม่มีใครมองเห็นได้ทัน

เมื่อทุกคนได้สติ จึงเข้าใจในทันทีว่าถูก “ผีหลอก” แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่นขวัญกระเจิง
เรื่องนี้จึงกลายเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมากในรั้ววังหลวง


เรื่องที่สอง เกิดขึ้นที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ รัชกาลที่5 และพระบรมวงศ์
เกือบทุกพระองค์ก็ได้เสด็จเข้ามาประทับ ณ ที่แห่งนี้ จากนั้นล้นเกล้า ร.5 ก็ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าให้เขียนภาพ พระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลต่างๆไว้ในห้องมุกกระสัน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้
เป็นชัยภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ข้างพระมหามณเทียรอันเป็นที่ประทับ และเป็นที่สวรรคตของพระมหากษัตริย์
รัชกาลต่างๆ
เรื่องชวนขนลุกมีอยู่ว่า “เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ท่านยังทรงพระเยาว์มาก ท่านก็ประทับเล่นที่
บริเวณห้องมุกกระสัน อยู่ๆท่านก็เห็นบุรุษร่างท้วม สวมเสื้อผ้าอาภรณ์แปลกตา เดินผ่านมาทาง
พระองค์ แล้วเดินหายเข้าไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลที่ ๓”

ด้วยความที่เจ้าฟ้าจักรพงษ์พระชนม์ยังน้อย จึงได้ตะโกนเรียกออกไปว่า “นั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้!!
แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีใครออกมา

เมื่อความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ท่านจึงรับ
สั่งถามเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ว่าบุรุษนั่นมีรูปลักษณะอย่างไร เจ้าฟ้าจักรพงษ์จึงตอบไปตามที่พระเนตรเห็น

พระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงอนุมานได้ทันทีว่า เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.3)
ทรงปรากฎพระองค์ให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ทอดพระเนตรเห็น จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธุปเทียน
ไปให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ เพื่อนำไปถวายและขอขมาลาโทษที่ไปล่วงเกินสมเด็จพระบรมราชบูรพการี


เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับเรื่องราวลี้ลับชวนขนลุก ที่ถูกเล่าขานต่อกันมาหลายร้อยปี ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้น
อยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคลนะคะ แต่ยังไม่หมดง่ายๆเพียงเท่านี้หรอกค่ะ สำหรับเรื่องราวลี้ลับภายใน
วังหลวง เนื่องจากว่ามีหลายที่ หลายจังหวัด รวมถึงเกิดขึ้นเจ้าเจ้านายหลายพระองค์มากมาย
โอกาสหน้าจะรวบรวมมาให้อ่านกันใหม่นะคะ รับรองว่าไม่นานเกินรอแน่นอน

ที่มา : http://www.patjaa.com